หลังการออกรายการสดของคณะภาคประชาชนกับนายกรัฐมนตรี ทางช่อง ๑๑ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา มีความคิดเห็นออกมาหลากหลาย ส่วนหนึ่งอาจมองไปว่าเป็นการฮั้วกันซึ่งห่างไกลจากพื้นฐานข้อเท็จจริงอย่างสิ้นเชิง ทางหนึ่งมองว่าเป็นชัยชนะของฝ่ายรัฐ ชนะด้วยลมปาก ช่วงชิงพื้นที่และความเชื่อของประชาชนผู้รับชม ณ วันนั้น
ในฐานะที่เป็นคนหนึ่งของทีมงาน คณะเตรียมงานก่อนวันออกรายการสด ได้อยู่หลังกล้องตลอดช่วงดังกล่าว เห็นว่าอย่างน้อยที่สุด วัตถุประสงค์เบื้องต้นที่จะได้นำเสนอข้อมูลที่ถูก-ตรงนั้น เราได้ทำและบรรลุเป้าหมายในระดับหนึ่ง ที่จะได้ถ่ายทอด “ข้อความ” ส่วนใหญ่เคยกระจัดกระจายเป็นชิ้นข่าวเล็ก ๆ นายกฯ ได้ยอมรับ “ข้อเท็จจริง” หลายประการ ในนั้นภาคประชาชนได้ทำเป็นบันทึกในสิ่งที่นายอภิสิทธิ์ได้ยืนยันและเน้นย้ำไว้ ทั้งภาคประชาชนได้เน้นย้ำยืนยันข้อเท้๗จริง ข้อเรียกร้อง ผ่านการแถลงข่าวและเอกสารบันทึก เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
วันรุ่งหลังการออกโทรทัศน์ ผมได้รับจดหมายน้อยฉบับหนึ่งจากผู้อวุโส ซึ่งเกิดทัน และมีส่วนรู้ระยะประชิดกับคดีพระวิหารเมื่อปี ๒๕๐๕ ส่งผ่านมาทางอีเมล สะท้อนความรู้สึกต่อการได้ติดตามการออกรายการวันนั้น สะท้อนตรงกับความรู้สึกหลาย ๆ ท่านว่านายกฯ เป็นผู้ได้รับประโยชน์สูงสุด และเป็นคนที่ฉลาดรู้ไปเสียทุกเรื่อง “รู้แล้ว ทำแล้ว กำลังทำ” แต่ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง ข้อความฉบับเต็มของจดหมายด้านล่าง
ดิฉันคิดๆ ดูแล้วเห็นว่า การออกทีวี 3 ชั่วโมงเมื่อวาน คนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดคือนายก เพราะแทนที่จะรับฟังข้อเสนอแนะของเรา มันดูเหมือนว่า ไม่ว่าเราจะเสนออะไร ท่านนายกท่านมีแต่
รู้แล้ว ทำแล้ว หรือไม่ก็กำลังทำ
ที่เราพูดไปทั้งหมดจึงดูเหมือนเปล่าประโยชน์ไปเสียทั้งสิ้น
นอกจากนั้นท่านนายกยังเปิดโอกาสให้ผู้อ่อนอาวุโสที่สุดของฝ่ายรัฐบาลคือนายชวนนทร์ซึ่งเป็นแค่เลขาฯ รัฐมนตรีลุกขึ้นชี้แจงเรื่องรายละเอียดที่ไม่มีความสำคัญ ทั้งยังทะลุกลางปล้องสอดขึ้นมาขณะที่อาจารย์สมปองกำลังพูด ซึ่งเป็นการเสียมารยาทอย่างแรงโดยนายกก็ไม่ได้ทักท้วง อีกทั้งเปิดโอกาสให้ร.ม.ต.สุวิทย์เล่าอย่างละเอียดว่าไปทำอะไรบ้างที่บราซิลเพื่ออวดอ้างความดีความชอบและความเก่งกล้าสามารถของให้ประชาชนฟัง ซึ่งเป็นการเสียเวลาโดยใช่เหตุ
งานเมื่อวานจึงกลายเป็นฝ่ายรัฐบาลแก้ตัวและประกาศความดีความชอบของตัวให้ประชาชนรับรู้โดยมีเราร่วมเป็นพะยาน ผลพลอยได้อีกอย่างคือเป็นการหาเสียงไปในตัว
ถ้าในอนาคตเขาเรียกฝ่ายเราไปพบเพื่อหารือหรืออะไรก็ตามแต่ ไม่ว่าเป็นการเฉพาะหรือถ่ายทอดสดให้ประชาชนทั้งประเทศฟัง แล้วปรากฏว่ามันออกมาในรูปนี้อีก จะเกิดประโยชน์อะไร
คนที่ตั้งใจฟังโดยตลอดนอนคิดทั้งคืนแล้วอึดอัดใจมาก
สิ่งที่นายอภิสิทธิ์บอกว่ารู้แล้ว ทำแล้ว และกำลังทำนั้น สะท้อนผ่านคำชี้แจงของ นายกษิต ภิรมย์ รัตมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในการประชุมรัฐสภาเมื่อสองวันที่ผ่านมา กรณี MOU 2544 และ TOR 2546 ที่รัฐบาลประกาศจะยกเลิกเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว เกือบหนึ่งปีไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยนอกจากเอาเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี กรณีปราสาทพระวิหารก็เช่นกัน รัฐบาลแทบไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยกระทั่งถึงการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่บราซิล ซึ่งมาไฟลนก้นเอาเมื่อภาคประชาชนออกมาชุมนุมคัดค้าน เสร็จแล้วคุยโวโอ้อวดเป็นการใหญ่
ทั้งหมดนี้คือ “รู้แล้ว ทำแล้ว และกำลังทำ” แบบฉบับของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นักมายากลระดับโลกที่สามารถปั้นน้ำลายเป็นทุกอย่างได้
กรณีของนายสุวิทย์ คุณกิติ ผู้เป็นที่จดจำในกรณีของน้ำตาลทราย ๕ บาท ได้อวดอ้างความดีของตัวสุดจะพรรณา ทั้งที่เหตุการณ์จริงที่การประชุมมรดกโลกที่บราซิล รัฐมนตรีผู้นี้ งุ่มง่ามทำอะไรไม่ถูกทำอะไรไม่เป็นสักอย่างเดียว ที่พอเป็นเนื้อเป็นหนังได้บ้างก็อาศัยท่านทูตอัษฎา ชัยนาม เป็นคนไปจับเอาตัวแทนประเทศโน้นประเทศนี้มาปิดห้องล็อบบี้ ไม่งั้นก็อยู่ในสภาพหมาเน่าลอยตุ๊บป่องในน้ำ โผล่ตรงนั้น ตรงนี้ แต่ก็แปลกพอถึงท่าไทยกลับส่งกลิ่นหอมฉุย..สุดยอดวีระบุรุษ
วานนี้ผมได้รับจดหมายเขียนด้วยลายมือจากผู้อวุโส เป็น “ข้อสังเกตจากผู้ติดตามรายการอย่างใกล้ชิด” ที่สังเกตสังกากิริยาท่าทีของนายอภิสิทธิ์ สะท้อนตัวเขาอย่างคมชัด เนื้อความว่า
นายกอภิสิทธิ์ ชนะใจคนด้วยรอยยิ้ม แต่ถ้าพิจารณาอย่างลึกซึ้ง จะเห็นชัดเจนว่ายิ้มของท่านค่อนข้างพร่ำเพรื่อสำหรับการเจรจาระดับชาติ นอกจากนั้นรอยยิ้มของท่านยังส่อ “รอยเยาะ” เอาไว้
เกิดเพราะท่านรอบรู้และฉลาดเฉลียวกว่าเขาใช่ไหม
(อัปเดต ๑๕ สิงหาคม) วานนี้คุณผู้ชายท่านหนึ่งส่งจดหมายมาเป็นส่วนตัวตั้งเป็น “ข้อสังเกตที่ไม่ชอบมาพากล” ในเชิงตั้งคำถาม ดังนี้ว่า
ดูรายการท่านนายกพบเครือข่ายประชาชนคนรักชาติในที.วี.เมื่อวันที่ 8 แล้ว อยากตั้งข้อสังเกตุที่ไม่ชอบมาพากลเลยว่า ท่านนายกพูดทำไมว่า ความระยำ (ขอโทษที่จำกัดความด้วยถ้อยคำไม่สุภาพ) ต่างๆ มันเกิดขึ้นก่อนหน้ารัฐบาลสมัยท่าน แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ ตอนนี้ท่านก็เป็นนายกแล้ว รัฐบาลของท่านจึงมีหน้าที่แก้ใขความระยำ (ขอซ้ำอีกที) เก่าๆ ให้หมดสิ้นไปไม่ใช่หรือ
ท่านพูดแบบนี้ฟังเหมือนปัดสวะพอให้พ้นๆ ตัวหรือยังไงกันแน่ ไม่น่าปล่อยคำพูดพล่อยๆ ให้หลุดออกมาจากปากคนระดับนายกเล้ย หรือท่านคิดว่าท่านหว่านเสน่ห์กล่อมคนได้หมดทั้งประเทศ คนที่ตั้งใจฟังท่านทุกคำพูดยังมีนะ
จากคนตาบอดที่หูไม่หนวก
มีใครเห็นต่างจากนี้ไหม…?
อืมม์ ถ้ามีจดหมายมาหลายฉบับ ท่านจะเลือกฉบับไหนมาลงล่ะ
ในฐานะที่เป็นคนดูข่าวที่ไม่ได้สังกัดสีใดเป็นพิเศษ ยกเว้นสีของชาติไทย
กลับเห็นต่างว่านายกชี้แจงได้ชัดเจนตรงประเด็น ตามควรแก่อำนาจหน้าที่
ผู้อยู่ในฐานะของภาคประชาชนเสียอีก ที่ค่อนไปในทางก้าวร้าว แสดงออกถึงปมด้อยของตัวเอง แสดงความคับแค้นใจในปมของตัวเองที่ใครก็คงแก้ให้ไม่ได้
วิธีนำเสนอขาดความเป็นมิตรไม่น่าฟัง แม้จะมีข้อมูลมากมาย
ตั้งธงล่วงหน้าลักษณะคุกคาม ไม่อาจเรียกว่าการเจรจา เป็นลักษณะจงใจหาเรื่อง
บุคคลกลุ่มนี้หากต้องไปเจรจาความเมือง มีแต่จะนำความเสียเปรียบเสียหาย และเสียภาพพจน์มาสู่ส่วนรวม
เรื่องเขาพระวิหาร เป็นเรื่องความสัมพันธ์หลายฝ่าย จะตามใจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งคงไม่ได้
ทั้งยังเป็นเรื่องละเอียดอ่อน การปลุกปั่น รุกเร้าโดยข้อมูลเฉพาะส่วนที่ตนได้ประโยชน์ เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อสังคม ที่ผู้คนขาดการศึกษาลึกซึ้ง ใช้อารมณ์นำหน้าเหตุผล
ประชาชนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมือง แต่มีความรู้จากการร่ำเรียนมาเห็นว่า ฝ่ายนายกไม่ได้ยกตัวว่าถูกทั้งหมด และพยายามหาแนวทางที่ดีที่สุด
ในขณะตัวแทนกลุ่มมั่นใจว่าตัวเองถูกต้องที่สุด ไม่มีการประนีประนอม
ความรู้สึกว่านายกยิ้มเยาะ เป็นปมด้อยส่วนตัว วาสนา บารมีของแต่ละคน เป็นเรื่องนอกเหนือเหตุ-ผล
ที่สำคัญกิริยาขาดน้ำอดน้ำทนของตัวแทนกลุ่ม ทำให้ขาดความน่าไว้วางใจ
มิหนำซ้ำหลังเวที กับ หน้าเวทีมีกิริยาต่างกัน ไม่เป็นสุภาพบุรุษโดยสิ้นเชิง ทำให้สังคมยากจะเชื่อว่ามาจากจิตบริสุทธิ์แท้จริง ขาดเมตตาธรรมต่อผู้อื่น มีอัตตาและอคติรุนแรง
ป้อนข้อมูลเพื่อสร้างสังคมใหม่ด้วยความเกลียดชังมากกว่ารักสามัคคี
เวทีที่รัฐบาลเปิดให้ถือว่าเป็นความใจกว้างของรัฐ ขณะที่ภาคประชาชนมีกิริยาวาจาขาดความเคารพต่อผู้อื่น จึงถือเป็นจุดอ่อนที่จะต้องปรับปรุง
ที่สำคัญฝ่ายหนึ่งอยู่ในกติกา อีกฝ่ายอยู่นอกกติกา กับจะกลายเป็นชนวนความแตกแยกในสังคม หากไม่มีการลดท่าที โดยคำนึงถึงการบริหารจัดการประโยชน์มวลรวมของประเทศ กับประโยชน์เฉพาะพื้นที่พิพาทที่คิดเป็น 0.000896% ของทั้งหมด และอีกทั้งข้อพิพาทก็ยังไม่ยุติ
ที่ควรทำคือช่วยเหลือภาครัฐให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น หากมีความจริงใจต่อส่วนรวม แต่ดูการนำเสนอปัจจุบัน เป็นลักษณะต้องการนำสังคม ต้องการผลงานไว้กับตัวเอง เพื่ออ้างบุญคุณต่อเพื่อนร่วมชาติ มากกว่าแสดงความหวังดีจากน้ำใสใจจริง
หากมุ่งมั่นต้องการทำงานเพื่อบ้านเมือง และมีอำนาจสั่งการเหมือนนายก จึงควรลงสนามเลือกตั้งอย่างลูกผู้ชาย อดทนรอเวลาที่จะได้รับความไว้วางใจจากปวงชน ให้เข้ามารับผิดชอบปัญหาบ้านเมืองได้อย่างเต็มที่ ขณะที่ทำงานรับใช้สังคมในภาคประชาชนควบคู่ไป
@โอ๋:
ผมอ่านด้วยความตั้งใจทุกตัวอักษรเพื่อจะหาสาระ แต่ก่อนถึงบรรทัดสุดท้ายก็เจอเอากับความโง่แบบฉกาจฉกรรจ์ อะไร ๆ ก็ ลงสนามเลือกตั้ง อะไร ๆ ก็อำนาจวาสนา เป็นความเหลวไหลอย่างที่สุด
ผมบอกให้ทราบอย่างหนึ่งเถอะว่า นายกรัฐมนตรีผู้นี้สมัยที่เป็นฝ่ายค้าน ก่อนอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็ไปขอวิชาของความรู้จากนักวิชาการเหล่านี้ทั้งนั้น จึงได้ไปแจ้ว ๆ ในสภา และตลอดช่วงการเป็นนายกฯ มองภาคประชาชนเป็นสิ่งเกะกะมาตลอด
@โอ๋
ดิฉันนั่งฟังในห้องส่ง NBT ตลอดเวลา
ดิฉันรู้ค่ะว่าอะไรเป็นอะไร
ดิฉันทราบดีค่ะว่าตนเองกำลังทำอะไร
ดิฉันไม่เลือกตั้งหรอกค่ะ เพราะไม่ต้องการอำนาจทางการเมือง
ถ้าคุณไม่รู้ อย่าปรามาสคนอื่นก่อนนะคะ
ว่าอยากมีบารมีทางการเมืองกันทุกคน
อย่าเอาความคิดของตนไปเปรียบกับคนอื่น
ผมคิดว่า ถูกทุกคนแหละครับที่ทำเพื่อชาติ…
ทั้งภาครัฐ ทั้งท่านนายกฯ ทั้งภาคประชาชน…
แต่กรุณาอย่าปรามาสไปถึงภาคประชาชนเลยครับ…
เพราะสิ่งที่ท่านเห็นภาคประชาชนกระทำนั้น นั่นคือเครื่องมือของภาคประชาชนครับ…
และสิ่งที่บุคคลเหล่านั้นกระทำนั้น กระทำไปบนความหวงแหนแผ่นดินเกิดครับ…
พื้นที่พิพาทที่คิดเป็น 0.000896% ของทั้งหมดนั้น หากคุณคิดว่ามันน้อยสำหรับคุณ ผมก็รู้สึกเสียใจครับ…
และสุดท้ายผมเพียงหวังว่าสักวันภาคประชาชนจะเข้มแข็งและครอบคลุมไปถึงคนทุกกลุ่ม นั่นคงจะทำให้ผู้บริหารที่ด้อยคุณภาพคงจะเข้าไปบริหารราชการแผ่นดินได้ยากขึ้น…
ด้วยจิตคารวะ
นายกได้รับความไว้ใจมากเหลือเกิน มากจนเหลิง!!!
คนวิจารณ์กันไป ไม่ได้สนใจว่าเนื้อหาเป็นยังไง ผลเป็นยังไง รู้แต่ว่าภาคประชาชนใจร้อน นายกใจเย็น ใจเย็นเพราะมีคนไว้ใจมาก ใจเย็นเพราะเตรียมพระราชดำรัสจากสถานการณ์ต่างกันมาพูดปิดการเจรจา พร้อมกับรอยยิ้มที่พร่ำเพรื่อ
คุณปานเทพ อ.สมปองก็ใจเย็น มีเหตุผล แต่ไม่ได้รับความสนใจ เพราะนายกนั่งอยู่ในใจของคนดูอยู่แล้ว
ขอโทษที่มาบ่นช้าไปหน่อย