คนขี้ขลาดมันบังอาจมาปากเก่ง
ฟังนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บุตรชายนายแพทย์อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ ศิษย์ก้นหม้อของนายชวน หลีกภัย ชี้แจงในสภาฯ ต่อประเด็น JBC และ MOU43 เมื่อวานนี้แล้ว ยิ่งตอกย้ำความเชื่อที่มีอยู่เดิมว่านายกรัฐมนตรีของไทยคนนี้เป็นคนขี้ขลาดตาขาวและเบาปัญญา
เช่นเดียวกับผู้นำคนก่อน ๆ ของพรรคประชาธิปัตย์ อาทิ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายชวน หลีกภัย คนเหล่านี้ล้วนแต่ “ขลาด-เขลา” ปากกล้าปากเก่ง หลักการเยอะ แต่เมื่ออยู่ในตำแหน่งบริหารกลับไม่เอาไหนสักคน ไม่ว่าจะจบเมืองนอกเมืองนาหรือศึกษาในประเทศ เป็นลูกผู้รากมากดีหรือเด็กวัดลูกแม่ค้าพุงปลา ล้วนแต่ “พิมพ์เดียวกัน”
ต้นทางของบันทึกความเข้าใจร่วมไทย-กัมพูชา พ.ศ. ๒๕๔๓ หรือ MOU20001 นั้นเกิดจากความขลาดเขลาและไม่เอาไหนของรัฐบาลนายชวน หลีกภัย โดยความรับผิดชอบของนายสุรินทร์ พิศสุวรรณ และ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รัฐมนตรีว่าการและรัฐมนตรีช่วยในขณะนั้น ด้วยความประสงค์ที่จะให้ข้อขัดแย้งแดนกับกัมพูชายุติ หากแต่การเจรจานั้นกัมพูชายืนยันไม่ยอม และขู่ว่าจะนำเรื่องขึ้นฟ้องศาลโลก2
เป็นความโง่โดยแท้ และความใช้ไม่ได้อย่างยิ่งของกระทรวงและข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเป็นหน่วยงานเดียวของประเทศที่ “ต้องรู้” ว่าขอบเขตอำนาจของศาลโลกนั้นใช้กับไทยไม่ได้ นับจากกรณี “ฉ้อโกง” ปราสาทพระวิหารของศาลโลกในครั้งนั้น เมื่อสิ้นสุดอายุคำรับอำนาจศาลในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ ไทยไม่เคยต่ออายุอีกเลย ทั้งต่อให้พิพากษามาว่าอย่างไร หากไม่ทำตามศาลโลกก็ทำอะไรไม่ได้ กรณีเช่นนี้เกิดอยู่เนื่อง ๆ
หากไม่นับเอาเนื้อหาที่แท้จริงของปัญหาความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ คือเรื่องของทักษิณ ชินวัตร และขบวนการเสื้อแดง มาพิจารณาและมุ่งเฉพาะปัญหาความขัดแย้งเรื่องเขตแดน โดยป่วยการที่จะย้ำว่าการปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา หรือฝรั่งเศสในขณะนั้นสิ้นสุดเมื่อ ๑๐๓ ปี ที่แล้ว สิ่งที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์โดยเฉพาะตัวนายกรัฐมนตรียึดเหนี่ยวและปกป้องอย่างที่สุด คือ MOU43 ที่ระยะไม่กี่เดือนมานี้แปลสภาพเป็นยาขนานวิเศษที่จะแก้ทุกข์ภัยทุกประการได้
ประการหนึ่ง MOU43 เป็นความผิดพลาดของพรรคประชาธิปัตย์ในอดีต โดยปรมาจารย์ผู้ประสิทธิ์นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน เป็นเรื่องใหญ่ของพรรคที่ต้องปิดให้มิดและยืนกระต่ายขาเดียวถึงคุณประโยชน์ แล้วยกอ้างว่า “เป็นกลวิธีที่ต่างกัน”
เหตุผลที่มาทีหลัง พูดบ่อยพูดย้ำให้คนอื่นเชื่อตามจนเป็นความเชื่อของตัวเอง นำพาทุกการกระทำไปผิดทิศผิดทาง คนเมื่อโกหกความผิดอย่างอื่นหรือจะทำไม่ได้ คำที่นายอภิสิทธิ์พูดย้ำในสภาเมื่อวานนี้ ที่พยายามให้คนอื่นคล้อยตามประโยชน์อันอนันต์ของ JBC และ MOU43 สะท้อนความ “ขลาด-เขลา” ในตัวนายกฯ ผู้นี้อย่างร้ายแรงที่สุด
ที่น่ากลัวยิ่งกว่าการมีนายกรัฐมนตรีที่โกหกปลิ้นปล้อน คือ ความขี้ขลาดในตัวเขา ที่ทำลายศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของชาติ ไม่เฉพาะอธิปไตยและผืนแผ่นดินที่ต้องเสียไป
ลืมไปแล้วว่าประวัติศาสตร์ชาติเราก่อร่างและเป็นมาอย่างไร ความกล้าหาญและมีเกียรติของบรรพชนและบรรพกษัตริย์ ทำให้เรามีที่เหยียบยืนบนโลก ไม่สิ้นชาติและไม่ต้องค้อมหัวให้ใคร ทว่าความขลาดกลัวต่อองค์การเฮงซวยอย่างสหประชาติ หรือองค์กรขนาดเล็ก ๆ กระจอก ๆ ที่สภาพไม่ได้ต่างอะไรกับ อบต. ในชนบท อย่างคณะกรรมการมรดกโลกของยูเนสโก หรือต่อคำว่า “พหุพาคี” หรือ “นานาชาติ” หรือแม้แต่การสยบยอมต่อประเทศที่เคยเป็น “ประเทศราช” หรือรัฐขี้ข้าของตัวเองนั้น นั้นน่าอาย ไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรีเป็นที่สุด
นายอภิสิทธิ์จึงได้หน้าไม่อายยืนขึ้นพูดว่าเพราะมี MOU43 ทำให้เราประสบความสำเร็จในการป้องกันการแทรกแซงจากนานาชาติ ทำให้เรามีข้ออ้างในการคัดค้านการยื่นแผนบริหารจัดการมรดกโลกปราสาทพระวิหารของเขมร และ JBC เป็นการแสดงความ “จริงใจ” ของไทยในการแก้ปัญหาแบบทวิภาคี
ประเทศไทยไม่ใช่สุนัขตัวเมียที่ตัวผู้ตัวไหนจะปี้ได้ ถ้า “กลิ่น” มันไม่ฉุย
ถ้าไม่เข้าใจผิด ๆ ถ้าไม่ขี้ขลาดตาขาว ถ้าไม่ต้องการรักษาภาพ “เด็กดี” ใครมันจะกล้าเข้ามายุ่มยาม องค์การสหประชาชาติ นานาชาติ หรือองค์กรไหน ๆ จะเข้าไปแทรกแซงกิจการของประเทศไหนได้ เพราะต่างล้วนแต่มี “อธิปไตย” ของตนเอง ความขี้ขลาด ความโง่ และความหลงเข้าใจผิดนั่นแหละที่จะชักศึกเข้าบ้าน
ดังนั้น อย่าบังอาจมาทำเป็นปากดี!!
เก่งจริงก็ยืนสันปันน้ำ ถีบเขมรตกหน้าผา เตะยูเนสโกออกนอกประเทศ แล้วเอาฝ่าตีนยันหน้าไอ้เฉาฉุ่ย บัน คีมูน สิ ถ้าอเมริกา ฝรั่งเศส จะยุ่มย่ามก็บอกับมันเบา ๆ ว่า “อย่าเสือก”
ทักษิณ ชินวัตร ขายชาติก็เพื่อผลประโยชน์อันเป็นความมั่งคั่งของตัวเอง แต่บางคนขายชาติโดยไม่มีอะไรเข้าไปแลก ยกเว้นความขี้ขลาดตาขาว ความโง่เขลาและภาพลักษณ์ เท่านั้นเอง
- คนไทยทั่วไปเรียก MOU43 – บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ. ๒๕๔๓ [↩]
- ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ [↩]
4 Responses to คนขี้ขลาดมันบังอาจมาปากเก่ง
Leave a Reply
3 November 2010 at 15:59
คนไทยนี่ชอบมองแต่เปลือกจริงๆนะครับ
3 November 2010 at 15:59
เช่นนั้นครับ
4 November 2010 at 06:12
แล้วเราจะทำยังไงกันดี ช่วยคิดที
4 November 2010 at 08:36
เราไม่รู้จะทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหน รอดูอีก 30 วัน
ตอนนนี้ฝั่งเขมรไม่มีการตอบโต้ออกมาเลยกรณีที่การลงมติเลื่อนออกไป ไม่ว่า วาร์ คิมฮง หรือฮอร์ นัมฮง มีแค่กอย เกืองที่ออกมาพูดสั้น ๆ ว่าเสียใจ และบอกเป็นปัญหาภายในของไทย
ถ้าสถานการณ์ปกติ ทั้งวาร์ และฮอร์ จะต้องออกมาด่าไทยแล้ว นี่แสดงว่าไม่ปกติ
อภิสิทธิ์คงไปรับปากอะไรกับฮุน เซน โดยไม่บอกคนไทย